top of page
24092-01.jpg

ธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด

GI MAP-img (3).jpg

NK Cell (Natural Killer Cell)

การบำบัดด้วย NK cell คืออะไร?
คือการบำบัดด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า”เซลล์เพชรฆาต” เพราะสามารถรักษามะเร็งเม็ดเลือดและโรคอื่นๆ ได้

NK cell คืออะไร
NK cell เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย และเป็นด่านแรกในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสและในกรณีที่เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ผิดปกติ  NK cellนั้น จัดอยู่ในตระกูลเดียวกันกับ T cells และ B cells แต่ NK cell จะมีความสามารถเฉพาะตัวในการฆ่าเซลล์เนื้องอกและเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสโดยไม่ต้องรอให้เกิดการกระตุ้นจากแอนติเจน ดังนั้นการบำบัดด้วย NK cell จึงเหมาะที่จะใช้เป็นการส่งเสริมในการรักษาเนื้องอก นอกจากนี้ NK cell ยังผลิตไซโตไคน์ที่หลากหลายชนิด ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานไปเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย นอกจากนี้ NK cell มีผลอย่างมากกับการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

T cell และ NK cell แตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างระหว่าง T cellและ NK cell จะเห็นได้จากบทบาทที่แตกต่างกันอย่างมากในการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของโรค NK Cell เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิด จะคอยจัดการกับโรคและการติดเชื้อที่ร่างกายไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจาก NK cell จะไม่มีกระบวนการจดจำการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสชนิดที่เคยติดเชื้อมาก่อน NK cell จึงพร้อมที่กำจัดทันทีทันใด (ในกรณีนี้ การเพิ่มจำนวนของ NK cell ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องใช้ NK cell จำนวนมากเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียให้หมดไปอย่างรวดเร็ว) ในทางกลับกัน T cell เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่สามารถปรับตัวได้ พวกมันสามารถจดจำสิ่งที่เคยผ่านเข้าร่างกายมาและต่อสู้ด้วยได้ เช่นแบคทีเรียหรือไวรัสบางชนิด เมื่อมีเชื้อแบคทีเรียชนิดนั้นเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งก็จะถูก T cell กำจัดออกไป

 

ข้อดีของการบำบัดด้วยเซลล์ NK Cell คืออะไร?
การบำบัดด้วย NK Cell มีประโยชน์มากมาย
NK cell ไม่จำเป็นต้องทำการดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อจดจำเซลล์มะเร็ง นั่นหมายความว่า NK cell ใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงในการเตรียมพร้อมเพื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วย

 

NK Cell สามารถใช้เป็นทางเลือกในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ชนิดมัยอีลอยด์ที่ดื้อต่อยาเคมีบำบัดได้

เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษามะเร็งในรูปแบบอื่นๆ เช่น เคมีบำบัด ฉายแสง หรือแม้แต่การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันแล้ว การรักษาด้วย NK Cell ถือได้ว่าไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากนัก ผู้ป่วยสามารถรับมือกับมันได้ดี ในปัจจุบัน ได้มีการทดลองเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการบำบัดด้วยเซลล์ NK ที่เริ่มใช้ในผู้ป่วยเนื้องอกที่เป็นมะเร็ง นอกจากนี้ ผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มต้นยังสามารถรักษาด้วยการกระตุ้นด้วย NK Cell ร่วมกับการรักษาตามมาตรฐานทั่วไป เช่น เคมีบำบัด หรือยารักษาแบบมุ่งเป้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโดยรวมโดยไม่มีผลเสียต่อการรักษาหลัก การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่ายาเคมีบำบัดและยารักษาแบบมุ่งเป้าสามารถช่วยให้เซลล์มะเร็งตอบสนองต่อเซลล์ NK ได้ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์ NK ในการตรวจหาและทำลายเซลล์มะเร็ง

 

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งในระยะลุกลาม การบำบัดด้วยเซลล์ NK สามารถใช้เป็นการรักษาแบบเดี่ยวเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถรักษาได้ด้วยเคมีบำบัด หรือสามารถใช้ร่วมกับเคมีบำบัดแบบประคับประคองเพื่อลดขนาดมะเร็ง ควบคุมอาการที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง และช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้นอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถใช้เวลาอย่างมีคุณภาพกับคนที่คุณรักโดยมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดน้อยที่สุดคือจำนวนเซลล์ (NK Cell Count) และประสิทธิภาพของ NK Cell (NK Activity)
NK Cells เพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อ (ห้องสะอาด Class 100) เพื่อเพิ่ม NK Count และ NK Activity เวลาที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงเซลล์ประมาณ 14 วัน ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการปลูกถ่ายในผู้ป่วย
NK Cell จะถูกฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือด ใช้เวลา 1 ชั่วโมง และต้องสังเกตอาการประมาณ 30 นาทีหลังการปลูกถ่าย หลังการปลูกถ่ายผู้ป่วยสามารถกลับบ้านเพื่อพักผ่อนได้
ติดตามประเมินผล

ปัจจัยที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ขาดการนอนหลับ: การอดนอนมีความสัมพันธ์กับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ถูกระงับ เนื่องจากแอนติบอดีและเซลล์ที่ต่อสู้กับโรคจะลดลงในคนที่อดนอน ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ตั้งเป้าหมายที่จะนอนหลับอย่างต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมงต่อคืน

ความเครียดและความวิตกกังวล: เมื่อเราเครียดหรือวิตกกังวล ระบบภูมิคุ้มกันจะได้รับผลกระทบ ฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอลจะยับยั้งประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันโดยลดจำนวนลิมโฟไซต์หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับเชื้อโรคและไวรัส

การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มสุราหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากในคราวเดียวสามารถยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและลดความต้านทานต่อการติดเชื้อได้

การสูบบุหรี่: ควันบุหรี่สามารถบีบรัดหลอดเลือดของคุณ ซึ่งหมายความว่าบาดแผลจะใช้เวลาในการรักษานานขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ และยังยับยั้งแอนติบอดีและเซลล์ที่ต่อสู้กับโรคในร่างกาย

รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่: ร่างกายต้องการวิตามินและสารอาหารที่หลากหลายเพื่อให้ทำงานได้ตามที่ควร และได้รับวิตามินเหล่านี้จากอาหาร การทานอาหารขยะไขมันสูงหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและทำให้คุณติดเชื้อได้ง่าย

ขาดการออกกำลังกาย: การศึกษาพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะมีการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นประจำยังช่วยลดความเครียดและช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น

ภาวะขาดน้ำ: สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการขาดน้ำ เนื่องจากน้ำมีบทบาทสำคัญในเกือบทุกกระบวนการของร่างกาย และการที่ร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ทุกประเภท

bottom of page